‘อะโวคาโดพบพระ 08’ จ.ตาก พืชเศรษฐกิจมิติใหม่ ตอบรับ Longevity Trend สร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกรไทย

นางธัญญ์พิชชา เถระรัชชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ภาคเกษตรเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่การพึ่งพาพืชเศรษฐกิจดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอต่อความมั่นคงในระยะยาว การส่งเสริม “พืชเศรษฐกิจมิติใหม่” จึงเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างความยั่งยืนให้กับภาคเกษตร “อะโวคาโด” พืชอาหารเพื่อสุขภาพ (Longevity Food) กำลังกลายเป็นสินค้าที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถผลักดันรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรไทยได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ปัจจุบันแหล่งปลูกอะโวคาโดสำคัญของไทยอยู่ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย และตาก รวมถึงบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง สศท. 2 ติดตามสถานการณ์การผลิตอะโวคาโด จังหวัดตาก เป็นสินค้า GI ได้รับการขึ้นทะเบียน วันที่ 12 ตุลาคม 2566 พื้นที่ปลูกเกือบทั้งหมดของจังหวัดอยู่ที่อำเภอพบพระ เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงระหว่างภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,765 เมตร มีฝนตกชุก ส่งผลให้อะโวคาโดติดดอกออกผลเร็ว หลังปลูก 2 – 3 ปี สถานการณ์ผลิตในปี 2568 (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดตาก ณ กันยายน 2568) คาดว่า เนื้อที่ปลูกอะโวคาโดทุกสายพันธุ์ในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มี 8,900 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 86 ของเนื้อที่ปลูกทั้งจังหวัด เกษตรผู้ปลูกที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร 387 ราย จำนวน 3,761 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 7,170 ไร่ จำแนกเป็น พันธุ์บัคคาเนีย ร้อยละ 55 พันธุ์พบพระ 08 ร้อยละ 30 พันธุ์บู้ท 7 ร้อยละ 5 และพันธุ์พื้นเมืองร้อยละ 5 ผลผลิตทุกสายพันธุ์รวม 21,000 ตัน/ปี ผลผลิตเฉลี่ย 3,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี (ต้นที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป) ผลผลิตออกสู่ตลาดนาน 6 เดือน ในช่วงเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งในเดือนตุลาคม ผลผลิตจะออกตลาดอีกประมาณ 700 – 800 ตัน ด้านการจำหน่ายผลผลิต เกษตรกรรายย่อยเกือบทั้งหมดจะจำหน่ายให้แก่พ่อค้าในและนอกพื้นที่ที่เข้ามารับซื้อถึงสวน ยกเว้นสวนอะโวคาโดขนาดใหญ่ที่มีระบบ การจัดการที่ดีจะจำหน่ายให้แก่ลูกค้าประจำที่มีเงื่อนไขข้อตกลงด้านปริมาณรับซื้อและราคากันไว้แล้ว โดยราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ ณ เดือนกันยายน 2568 แบ่งตามพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์บัคคาเนีย ผลใหญ่ 55 – 60 บาท/กิโลกรัม ผลกลาง 45 – 50 บาท/กิโลกรัม ผลเล็ก 25 – 27 บาท/กิโลกรัม เหมาคละ 30 บาท/กิโลกรัม พันธุ์พบพระ 08 ราคาต้นฤดู 70 – 90 บาท/กิโลกรัม พันธุ์บู้ท7 เหมาคละ 50 – 60 บาท/กิโลกรัม พันธุ์พื้นเมือง ผลใหญ่ 35 บาท/กิโลกรัม ผลกลาง 20 บาท/กิโลกรัม ผลเล็ก 15 บาท/กิโลกรัม เหมาคละ 20 – 30 บาท/กิโลกรัม

สำหรับ อะโวคาโดพบพระ 08 เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่โดดเด่น ถูกพัฒนามาจากพันธุ์พื้นเมืองที่ได้จากการนำยอดพันธุ์อะโวคาโดจากต้นแม่พันธุ์ ณ บ้านรวมไทยพัฒนาที่ 8 ตำบลรวมไทยพัฒนา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มาเสียบยอดกับต้นตอพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกไว้ ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพ ได้ผลผลิตสูง ทนทานต่อโรค และได้ขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์พืชกับกรมวิชาการเกษตรแล้ว โดยมีนายวรเชษฐ์ วังพลากร เกษตรกรเจ้าของสวนวังพลากร ได้รับยกย่องจากเกษตรกรผู้ปลูกอะโวคาโดในพื้นที่จังหวัดตากว่าเป็น เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและการตลาดอะโวคาโดของจังหวัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผลิตอะโวคาโดคุณภาพรายใหญ่ของอำเภอพบพระ ที่มีต้นอะโวคาโดมากกว่า 1,000 ต้น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเกษตรอำเภอพบพระ กรมส่งเสริมการเกษตร เข้ามาร่วมสนับสนุนส่งเสริมการผลิตอะโวคาโดคุณภาพในพื้นที่อำเภอพบพระให้มีเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดนอกพื้นที่ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับจังหวัดตากมหาศาล ทั้งนี้ อะโวคาโดพันธุ์พบพระ 08 เหมาะปลูกในดินร่วนระบายน้ำดี ทนแล้งและต้านทานโรค โดยเฉพาะโรครากเน่า–โคนเน่า ให้ผลผลิตสูง เนื้อแน่น แห้ง มีกลิ่นหอม ผลสุกเปลี่ยนสีชัดเจน เลี้ยงผลเพียง 4–5 เดือน ช่วยลดต้นทุนและฟื้นฟูต้นได้เร็ว อีกทั้งยังขึ้นทะเบียน เป็นสินค้า GI สะท้อนคุณภาพเฉพาะถิ่นอย่างแท้จริง

“หากเกษตรกรยุคใหม่มุ่งเลือกปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ควบคู่กับการพัฒนาตนเองด้านองค์ความรู้และการบริหารจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ ควรมีการบูรณาการจัดทำแผนการขับเคลื่อนพัฒนาสินค้า “อะโวคาโดพบพระ 08” จากหน่วยงานทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่าที่ครอบคลุมในทุกมิติ ภายใต้กรอบแนวคิด BCG Model ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพผลผลิตควบคู่กับการสร้างสมดุลให้แก่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยจังหวัดตากสามารถส่งเสริมให้พันธุ์พบพระ 08 เป็นพืชทางเลือกหรือพืชเศรษฐกิจใหม่ที่ตอบรับกับ Longevity Trend ได้อย่างเหมาะสม สร้างความได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน” ผู้อำนวยการ สศท.2 กล่าว

ทั้งนี้ การพัฒนาอะโวคาโดพบพระ 08 ในระยะต่อไป มีแนวทางสำคัญ ดังนี้ 1) ส่งเสริมให้เกษตรกรได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตการตลาดอะโวคาโด และแนวทางการปรับตัว 2) สนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสวนการเก็บผลผลิตที่แก่จัด และการตรวจรับรองคุณภาพสินค้า 3) หน่วยงานในสังกัด กษ. ควรบูรณาการจัดทำแผนพัฒนาอะโวคาโดร่วมกับทุกภาคส่วนในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ตามกรอบ BCG Model ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับ “Longevity Trend” 4) หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้การตลาดสินค้า 5) สวนอะโวคาโดคุณภาพของจังหวัดตาก ควรได้รับการรับรองด้วยแบรนด์ตากการันตี เพื่อยืนยันคุณภาพและปลอดภัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6) สวนอะโวคาโดพบพระควรตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งผลิต (สวน) หรือสามารถพูดคุยกับเจ้าของสวนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นที่นำไปสู่การเชี่อมโยงธุรกิจการค้าที่ยั่งยืนในอนาคต

ข่าว : ส่วนประชาสัมพันธ์ / ข้อมูล : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก